
เคยไหมที่พอถึงวันอาทิตย์แล้วมีความคิดว่า เฮ้อวันพักผ่อนหมดไปอีกละ หรือ ฉันไม่อยากตื่นไปทำงานเลย หรือ ทำไม่ไม่ข้ามไปวันศุกร์เลย ฯลฯ สิ่งนี้บ่งบอกว่า คุณกำลังเข้าสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน ไม่ว่ามันจะเกิดจากอะไรมันคือสัญญาณเริ่มต้นของการเกิดภาวะหมดไฟอันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเกิดโณคซึมเศร้า
ปัญหาการหมดไฟในการทำงาน หลายคนมักคิดว่ามันเกิดจากที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือสถานที่ที่ไม่อำนวย หรือการต้องผจญกับคนโรคจิตต่างๆ ใที่ทำงาน การถูกยัดเยียดให้ต้องปฏิบัติงานในสิ่งที่ไม่ถนัด ฯลฯ มันก็คือส่วนหนึ่งของปัญหา
ถ้าเปรียบไปแล้วภาวะการหมดไฟในการทำงานนั้น ก็เหมือนกับกองขยะ ปัญหาต่างๆ ก็เป็นดั่งขยะเปียกที่เราต้องเจอแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่คนที่มีอาการหมดไฟมักทำตัวเป็นคนเก็บขยะ คือ พอเจอปัญหาอะไรก็เก็บเอาไว้ใส่ตัวเอาไว้กองๆๆ สุมๆๆ สุดท้ายก็ "เน่า"
หลายคนถามว่าแล้วมันหลีกเลี่ยงได้ไหมหรือมีวิธีการแก้ไขหรือไม่? คำตอบคือ "มี" และสามารถทำได้ทุกคนเพียงแต่เราเลือกที่จะเก็บขยะไว้กับตัวอย่างเดียว จนลืมมองว่าจริงๆ ในกองขยะก็ยังพอจะมีประโยชน์อยู่ เรายังสามารถคัดแยกขยะและนำไปทำประโยชน์ได้
ปัญหาสำคัญที่เกิดภาวะการหมดไฟของคนที่ทำงานประจำเพราะงานที่ทำขาดความตื่นเต้นเร้าใจน่าค้นหาไม่เหมือนกับตอนที่เป็นเด็กใหม่ในองค์กรที่อะไรก็ด็สวยงามไปหมด สิ่งที่ต้องพิจารณาให้ชัดคือที่เราว่ามันแย่ลงนั่นเพราะงานมันแย่ลง หรือจริงๆเราสะสมขยะทางความคิดไว้จนท่วมตัว
หลายคนพอมาถึงจุดนี้ก็คิดได้ว่า เออหว่ะเราเอาขยะทางความคิดต่างๆ มาสุมหัวเรามากจนทำให้ความสุขในการทำงานหมดไป และก็หลุดพ้นบรรลุแจ้งเห็นทางสว่างเลิกสะสมและทำงานแบบชิวๆ ได้ แต่ถ้าหากคุณอ่านมาถึงจุดนี้แล้วยังไม่เก็ตจะทำไงต่อหล่ะ
นั่นแสดงว่าคุณกำลังเสพติดกับความทุกข์ ซึ่งคุณต้องตั้งสติแล้วบอกตัวเองให้ดีๆ ว่า มึงไม่ใช่พจมาน แห่งบ้านทรายทอง อย่าดราม่า เพราะไม่ว่าจะทำตัวหน้าสงสารเช่นไรตั้งหน้าตั้งตาทำแบบอดทนโดยหวังว่านายจะเห็นคุณค่าในสักวันโดยไม่มีการพรีเซนตัวเองเลย ก็บอกได้เลยว่าเกมแน่ๆ
เพราะท้ายสุดแล้วความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความคิดเราแทบทั้งสิ้น เรื่องเดียวกันหากเรารู้จักมองมุมบวกสิ่งต่างๆ อาจกลับกลายจากร้ายเป็นดี จากสิ่งที่ทำร้ายจิตใจกลยาเป็นแรงผลักดันให้พัฒนาตนเอง เป็นต้น
เราคิดบวกแล้วเราจะได้อะไร คนอื่นจะสนใจจะเห็นในสิ่งที่เราทำไหม? สิ่งนี้คือกำแพงสุดท้ายที่กั้นขวางคุณให้จมกับกองขยะททางความคิดด้านลบไม่สามารถข้ามไปสู่หนทางแห่งความสุขได้อย่างแท้จริง นั่นเพราะ "คุณแคร์คนอื่นมากกว่าตนเอง"
คุณทำงานเพื่อหวังให้นายหรือเพื่อนชื่นชมหรือหวังจะได้โบนัส ความเครียดก็มาพร้อมกับความคาดหวัง พอพูดแบบนี้ก็มักจะมีคนดื้อบอกอะไม่เคยแคร์เลย แต่เดี๋ยวก่อนแน่ใจจริงๆ ใช่ไหมว่าไม่แคร์ ไม่ใช่แค่หลอกตัวเองนะ เพราะถ้ายังหลอกตัวเองอยู่ก็ไม่มีใครช่วยได้
การจะจุดไฟที่มอดให้ติดขึ้นอีกครั้ง เราจึงต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงของตนเองก่อน ว่าที่เราเครียดเพราะเราคาดหวังและก็ดันผิดหวัง และพอผิดหวังมากๆ เข้าไม่ว่าจากอะไรมันก็ทำให้เราเริ่มรู้สึกเบื่อไม่อยากจะทำแล้ว ทำไปทำไมทำก็ไม่ได้อะไร? (ก็นี่แหล่ะหวังอยากจะได้อะไรพอไม่ได้ก็เลยผิดหวัง)
ถ้ายังดื้ออีกก็เลิกอ่านและขอให้โชคดีกับกองขยะเปียกทางความคิดและจมอยู่กับมันไปตลอดกาลนาน แต่ถ้าไม่ดึงสติกลับมาก่อนแล้วอ่านต่อให้จบ 555
เมื่อเรารู้ว่าการคาดหวังทำให้เราผิดหวังและเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้เราเบื่องาน งั้นเราแก้ที่ต้นเหตุแบบที่พระพุทธเจ้าสอน ด้วยการดับทุกข์ที่เหตุแห่งทุกข์ เมื่อคาดหวังแล้วผิดหวังก็เลิกคาดหวังเลยจบปัง 555 วึ่งก็คงยากที่จะทำได้กันแหล่ะอันนี้เข้าใจ
สิ่งที่จะชี้คือ เราไม่จำเป็นต้องเลิกคาดหวังแต่เราควรเปลี่ยนเป้าหมายให้ถุกต้องและสวยงามต่างหาก ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น แต่ก่อนทำงานโดยคาดหวังว่านายจะเห็นคุณค่าและตอบแทนด้วยโบนัสหรือคำชื่นชม บลาๆๆๆ ซึ่งท้ายสุดก็กลายเป็นเหตุแห่งทุกข์ไป
โดยเปลี่ยนมาเป็นตั้งเป้าหมายเป็น ทำงานเพื่อเอาเงินไปให้พ่อแม่ เอาไปซื้อขนมดีๆ ให้ลูก เอาไปซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง ฯลฯ ถามว่าเราต้องทำงานไหม? ก็ยังต้องทำเหมือนเดิม ต้องเปลี่ยนงานไหม? คำตอบคือไม่เลยก็ทำมันที่เดิมนี่แหล่ะ แต่สุขขึ้นเฉยเลย 555
เพราะอะไร? ก็เพราะเราทำงานโดยมีเป้าหมายเพื่อคนที่เรารักและรักเราไงหล่ะ ไม่ได้เปลี่ยนงานแต่เปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานแทน เพราะงานคือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้มีเงิน แต่เราต้องการอะไรมากกว่ากันระหว่างคำชื่นชมของคนที่ทำงาน กับคามสุขของคนที่บ้าน
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเข้าใจแล้ว่าอันที่จริงเรื่องของภาวะหมดไฟนั้น มิใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นจากองค์กรแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกของเราต่อองค์กร ปัจจัยสำคัญมักเกิดจากการคาดหวังแล้วผิดหวังจนทำให้สิ้นหวังและหมดแรงที่จะคิดหรือทำอะไรเพราะมันไม่คุ้มค่า
แต่นั่นก็คือการคิดโดยนำ "คนอื่น" (ซึ่งเขาก็ไม่ได้หวังดีหรือคิดอะไรกับเรามากไปกว่าผู้ร่วมงาน) มามีอิทธิพลเหนือความสุขของตนเอง และลุกลามไปทำลายความสุขของคนที่รักเราหวังดีกับเราอย่างจริงใจอย่างเช่นคนที่บ้านไปสนิดใจ
วิธีแก้ไขจึงไม่ได้ยากอะไรที่จะทำแค่สนใจคนอื่นให้น้อยลงและใส่ใจคนที่ควรใส่ใจให้มากขึ้น เท่านี้เราจะรู้สึกว่าการทำงาน ก็เป็นแค่การมาหาเงินเพื่อไปซื้อนั่นนี่ให้กับคนที่เรารัก มีเงินไว้พาพ่อแม่ไปเที่ยวทะเล พาลูกไปดูหนัง พาเพื่อนๆ ไปปาตี้ ฯลฯ และจงบอกตนเองเสมอว่าถ้าไม่มีเงินแล้สครอบครัวจะเดือดร้อนเพียงใด
เพียงเท่านี้ไฟที่เคยมอดดับก็จะกลับมากระพริบและลุกโชดช่วงได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า แม้ว่าจะสามารถปล่อยวางได้เช่นที่กล่าว เราก็จะเจอปัญหาเข้ามากระทบทำเราจิตตกได้อีกเช่นกัน ซึ่งเราจำเป็นต้องฝึกคิดบวก เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง ให้สามารถโต้คลื่นแห่งปัญหาได้อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ 555
บทความโดย T-korn Charoenchan
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น